เมนู

บทว่า ปรมทิฏฺฐธมฺมนิพฺพานํ แปลว่า นิพพานอันยอดยิ่งในอัตภาพ
นี้นี่แล. บทว่า อนุปาทาวิโมกฺโข ได้แก่ ความหลุดพ้นแห่งจิต เพราะ
ไม่ยึดมั่นด้วยอุปาทาน 4. คำนี้เป็นชื่อของพระอรหัต. บทว่า ปริญฺญํ
ได้แก่ การก้าวล่วง. ในคำนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติการ
กำหนดรู้กามทั้งหลายด้วยปฐมฌาน ทรงบัญญัติการกำหนดรู้รูปทั้ง-
หลาย ด้วยอรูปาวจรฌานทั้งหลาย ทรงบัญญัติการกำหนดรู้เวทนาทั้งหลาย
ด้วยอนุปาทาปรินิพพาน. ก็พระนิพพาน ชื่อว่ากำหนดรู้เวทนาทั้งหลาย
เพราะละเวทนาได้หมด. บทว่า อนุปาทาปรินิพฺพานํ ได้แก่ อปัจจยปริ-
นิพพาน นิพพานที่หาปัจจัยมิได้. แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อตรัสพระ-
สูตรนี้ ทรงเห็นภิกษุ 500 รูป อยากสึก จึงตรัสเพื่อบรรเทาความอยาก
สึกของภิกษุเหล่านั้น. ภิกษุแม้เหล่านั้น บรรเทาความอยากสึกได้แล้ว
ชำระญาณตามกระแสเทศนา ก็เป็นโสดาบัน ต่อมา เจริญวิปัสสนา ก็
บรรลุพระอรหัตแล.
จบอรรถกถาปฐมโกสลสูตรที่ 9

10. ทุติยโกสลสูตร


ว่าด้วยพระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงนอบน้อมต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า


[30] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหาร
เชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็โดย
สมัยนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จกลับจากการรบชนะสงครามมาแล้ว
มีพระราชประสงค์อันได้แล้ว ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศลได้เสด็จ

ไปยังอาราม เสด็จไปโดยพระราชยานเท่าที่ยานจะไปได้ เสด็จลงจาก
ยานแล้ว เสด็จไปด้วยพระบาทเข้าไปสู่อาราม.
ก็โดยสมัยนั้น ภิกษุมากรูปเดินจงกรมอยู่ในที่แจ้ง ครั้งนั้นแล
พระเจ้าปเสนทิโกศลได้เสด็จเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นแล้วได้ตรัสถามว่า ข้า-
แต่ท่านผู้เจริญ บัดนี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับ
อยู่ในที่ไหนหนอ ด้วยว่าดิฉันประสงค์จะเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา-
สัมพุทธเจ้า ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ขอถวายพระพร ขอมหาบพิตรจง
เงียบเสียงเสด็จเข้าไปยังพระวิหารซึ่งมีประตูปิดนั้นแล้ว ไม่รีบด่วน เสด็จ
เข้าไปยังระเบียง ทรงกระแอม ทรงเคาะอกเลาประตูเถิด พระผู้มีพระภาค-
เจ้าจักทรงเปิดประตูรับ ขอถวายพระพร ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศล
ทรงเงียบเสียง เสด็จเข้าไปยังวิหารที่มีประตูปิดนั้น ครั้นแล้วมิได้ทรง
รีบด่วน เสด็จเข้าไปยังระเบียงแล้ว ทรงกระแอม ทรงเคาะอกเลาประตู
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเปิดประตูรับ ครั้งนั้นแล พระเจ้าปเสนทิโกศล
เสด็จเข้าไปสู่วิหาร ซบพระเศียรลงที่พระบาททั้งคู่ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงจุ๊บพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยพระโอษฐ์ ทรงนวด
ด้วยพระหัตถ์ทั้งสอง และทรงประกาศพระนามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
หม่อมฉันคือพระเจ้าปเสนทิโกศล หม่อมฉันคือพระเจ้าปเสนทิโกศล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า ดูก่อนมหาบพิตร มหาบพิตรทรง
เห็นอำนาจประโยชน์อะไรเล่า จึงทรงทำความนบนอบอย่างยิ่ง มอบ
ถวายความนับถืออันประกอบด้วยเมตตาเห็นปานนี้ ในสรีระนี้.
พระเจ้าปเสนทิโกศลกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉัน
เห็นความกตัญญูกตเวที จึงทำความนบนอบอย่างยิ่ง ถวายความนับถือ

อันประกอบด้วยเมตตาเห็นปานนี้ ในพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะพระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงปฏิบัติเพื่อประโยชน์แก่ชนหมู่มาก เพื่อความสุขแก่ชนหมู่
มาก เพื่อเกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก ทรงยังชนหมู่มากให้ดำรงอยู่ในอริยญาย-
ธรรม คือ ความเป็นผู้มีกัลยาณธรรม ความเป็นผู้มีกุศลธรรม ข้าแต่พระ-
องค์ผู้เจริญ หม่อมอันเห็นอำนาจประโยชน์แม้นี้แล จึงทำความนอบน้อม
อย่างยิ่ง ถวายความนับถืออันประกอบด้วยเมตตาเห็นปานนี้ ในพระผู้มี-
พระภาคเจ้า.
อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นผู้มีศีล มีศีลอันเจริญ
มีศีลอันประเสริฐ มีศีลเป็นกุศล ทรงเป็นผู้ประกอบแล้วด้วยกุศลศีล ข้าแต่
พระองค์เจริญ หม่อมฉันเห็นอำนาจประโยชน์แม้นี้แล จึงทำความนอบ-
น้อมอย่างยิ่ง ถวายความนับถืออันประกอบด้วยเมตตาเห็นปานนี้ ในพระ-
มีพระภาคเจ้า.
อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ทรง
เสพเสนาสนะอันสงัดซึ่งตั้งอยู่แนวป่า ตลอดกาลนาน ข้าแต่พระองค์ผู้
เจริญ หม่อมฉันเห็นอำนาจประโยชน์แม้นี้แล จึงทำความนอบน้อมอย่าง
ยิ่ง ถวายความนับถืออันประกอบด้วยเมตตาเห็นปานนี้ ในพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้า.
อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสันโดษด้วยจีวร บิณฑบาต
เสนาสนะและเภสัชบริขารอันเป็นปัจจัยแก่คนไข้ ตามมีตามได้ ข้าแต่
พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันเห็นอำนาจประโยชน์แม้นี้แล จึงทำความนอบ
น้อมอย่างยิ่ง ถวายความนับถืออันประกอบด้วยเมตตาเห็นปานนี้ ใน
พระผู้มีพระภาคเจ้า .

อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นผู้ควรของคำนับ
เป็นผู้ควรของต้อนรับ เป็นผู้ควรของทำบุญ เป็นผู้ควรทำอัญชลี ทรง
เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อม
ฉันเห็นอำนาจประโยชน์แม้นี้แล จึงทำความนอบน้อมอย่างยิ่ง ถวาย
ความนับถืออันประกอบด้วยเมตตาเห็นปานนี้ ในพระผู้มีพระภาคเจ้า.
อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นผู้ได้ตามความ
ปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งกถาเป็นเครื่องขัดเกลาอย่างยิ่ง
เป็นที่สบายแห่งการเที่ยวไปแห่งจิต คือ อัปปิจฉกถา สันตุฏฐิกถา ปวิเวก-
กถา อสังสัคคกถา วิริยารัมภกถา สีลกถา สมาธิกถา ปัญญากถา
วิมุตติญาณทัสสนกถา ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันเห็นอำนาจ
ประโยชน์แม้นี้แล จึงทำความนอบน้อมอย่างยิ่ง ถวายความนับถืออัน
ประกอบด้วยเมตตาเห็นปานนี้ ในพระผู้มีพระภาคเจ้า.
อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นผู้ได้ตามความ
ปรารถนา ได้โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก ซึ่งฌาน 4 อันมีในจิตยิ่ง เป็น
เครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันเห็นอำนาจ
ประโยชน์แม้นี้แล จึงทำความนอบน้อมอย่างยิ่ง ถวายความนับถือประ-
กอบด้วยเมตตาเห็นปานนี้ ในพระผู้มีพระภาคเจ้า.
อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงระลึกชาติก่อนได้เป็นอัน
มาก คือ ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติ
บ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบ
ชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏกัปเป็นอัน
มากบ้าง ตลอดวิวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏวิวัฏกัปเป็นอันมาก

บ้างว่า ในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ มีผิวพรรณอย่างนี้
มีอาหารอย่างนี้ เสวยสุข เสวยทุกข์อย่างนี้ มีกำหนดอายุเพียงเท่านี้
ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็เป็นผู้
มีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ มีผิวพรรณอย่างนี้ มีอาหารอย่างนี้ เสวย-
สุขเสวยทุกข์อย่างนี้ มีกำหนดอายุเพียงเท่านี้ ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้
มาเกิดในภพนี้ ทรงระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อม
ทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันเห็นอำนาจ
ประโยชน์แม้นี้แล จึงทำความนอบน้อมอย่างยิ่ง ถวายความนับถืออัน
ประการด้วยเมตตาเห็นปานนี้ ในพระผู้มีพระภาคเจ้า.
อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ
กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก
ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุมนุษย์ ย่อมทรงรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไป
ตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ
เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ประ-
กอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็น
สัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึง
สุคติโลกสวรรค์ ย่อมทรงเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประ-
ณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอัน
บริสุทธิ์ล่วงจักษุมนุษย์ ย่อมทรงรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมด้วย
ประการฉะนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันเห็นอำนาจประโยชน์แม้นี้

แล จึงทำความนอบน้อมอย่างยิ่ง ถวายความนับถืออันประกอบด้วยเมตตา
เห็นปานนี้ ในพระผู้มีพระภาคเจ้า.
อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ
ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยพระปัญญา
อันยิ่งเองในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ข้าพระองค์เห็นอำนาจประโยชน์แม้นี้แล
จึงทำความนอบน้อมอย่างยิ่ง ถวายความนับถืออันประกอบด้วยเมตตาเห็น
ปานนี้ ในพระผู้มีพระภาคเจ้า.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันเป็นผู้มีกิจมาก มีกรณียะมาก ขอ
ถวายบังคมลาไป ณ บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตร
ขอมหาบพิตรทรงสำคัญกาลอันควรในบัดนี้เถิด ครั้งนั้นแล พระเจ้า
ปเสนทิโกศลเสด็จลุกขึ้นจากอาสน์ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรง
ทำประทักษิณแล้ว เสด็จกลับไป.
จบทุติยโกสลสูตรที่ 10
จบมหาวรรคที่ 3

อรรถกถาทุติยโกสลสูตรที่ 10


ทุติยโกสลสูตรที่ 10

พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อุยฺโยธิกาย นิวตฺโต โหติ ความว่า เสด็จกลับจากการรบ.
บทว่า ลทฺธาธิปฺปาโย ความว่า ได้ยินว่า พระเจ้ามหาโกศล เมื่อถวาย
พระธิดาแก่พระเจ้าพิมพิสาร ก็พระราชทานหมู่บ้านกาสีคาม ซึ่งมีรายได้
จำนวนหนึ่งแสน ระหว่างแคว้นของพระราชาทั้งสองแก่พระธิดา. เมื่อ
พระเจ้าอชาตศัตรูปลงพระชนม์พระชนกแล้ว แม้พระมารดาของพระองค์